รีวิว Overwatch 2 ช่วง PvP Beta การกลับมาของผู้บุกเบิกเกมแนว Hero Shooter และการเปลี่ยนแปลงที่ต้องปรับตัว
เปิดให้ทดสอบใน PvP Beta แล้วสำหรับเกม Team Base Shooter ที่สร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลกตั้งแต่ปี 2016 อย่าง Overwatch คราวนี้กลับมาในภาค 2 หลังจากเปิดให้ทดสอบเล่นไปเมื่อวาน Overwatch 2 ก็กลายเป็นเกมทันที เกม Talk of the Town ที่มีผู้ชมสตรีมพุ่งสูงขึ้น (ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการคลายคีย์เบต้า) และคำถามต่างๆ เกี่ยวกับว่ามันแตกต่างจากภาคแรกอย่างไร และหลังจากที่เราได้ลองเล่นแล้ว และได้ใช้เวลากับเกมนี้อย่างมาก วันนี้เรามาดูกันว่า Overwatch 2 เป็นอย่างไรในช่วงเบต้านี้
ภาคนี้ต้องเสียเงินซื้อเพิ่มหรือไม่? และต่างจากภาคแรกอย่างไร?
คำถามยอดฮิตนับตั้งแต่มีการประกาศตัวเกมภาค 2 ออกมา คนที่มีภาคแรกแล้วควรทำอย่างไร? ต้องจ่ายเพิ่มเพื่อซื้อหรือไม่? คำตอบคือผู้ที่มีเกมแรกอยู่แล้วไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อเมื่อ Overwatch 2 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ผู้ที่มีเกมแรกอยู่แล้ว จะได้รับการอัปเกรดเป็นภาค 2 ฟรีทันที รวมถึงเงิน สกิน ไอเทมที่อยู่ในภาคแรกจะถูกย้ายไปภาค 2 ทั้งหมดเช่นกัน เข้าใจง่าย แม้จะเป็นเกมใหม่ . แต่จริงๆแล้วมันเหมือนกับเกมเก่าที่อัปเดตใหม่ครั้งใหญ่
แต่ถ้าคุณอัปเกรดฟรี คุณจะไม่ได้อะไรและจะต้องซื้อเพิ่มคือเนื้อหาโหมด co-op PvE ใหม่ในงวดนี้ และต้องจ่ายเพิ่มเพื่อซื้อ ตัวเกมได้ปล่อยโหมดการเล่นแบบ co-op PvE ออกมาบ้างแล้ว ตามวิดีโอที่เราใส่ไว้ที่นี่ซึ่งคาดว่าตัวเกมจะวางจำหน่ายจริง อาจจะมีรูปแบบการเล่นที่หลากหลายมากขึ้น แต่ไม่มีราคาหรือกำหนดการเปิดตัวที่ชัดเจนเมื่อไร
และคำถามสำคัญอีกข้อคือ ต่างจากภาคแรกยังไง ถ้าตอบตามตรง ภายนอกแทบไม่ต่างกันเลย? เพราะสิ่งที่เปลี่ยนไปในภาคนี้ก็คือรูปแบบการเล่นและรูปแบบการเล่นในส่วน PvP ที่เราจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป Overwatch 2 นั้นเป็นเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ของเกมแรก และการปรับสมดุลฮีโร่และแผนที่ต่างๆ และเพิ่มเนื้อหาใหม่ เช่น ตัวละคร แผนที่ โหมด ก็เหมือนกับแพตช์ใหญ่ของเกม แต่ข้อดีคือ ใครก็ตามที่มีเกมแรกจะได้รับการอัปเกรดทั้งหมดฟรีอยู่ดี ส่วนโหมดเนื้อเรื่องหรือ PvE ใครจะไม่สนใจ? คุณไม่จำเป็นต้องซื้อมัน
ลดจำนวนผู้เล่นต่อทีมและทำให้ Support เล่นยากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภาคนี้คือ การลดจำนวนสมาชิกในทีม จากภาคแรกเป็นการรบแบบ 6v6 ภาคนี้จะเหลือแบบ 5v5 แทน และยังมีการล็อกโรลหรือการสวมบทบาทที่ชัดเจนยิ่งขึ้นอีกด้วย ในภาคนี้ 1 ทีมจะประกอบด้วย Tank 1 / Damage 2 / Support 2 ด้วยจำนวนสมาชิกที่ลดการเปลี่ยนรูปแบบเกมโดยเฉพาะ ในภาคนี้ผู้เล่นในตำแหน่ง Support พูดเป็นเสียงเดียวกัน มันยากมากที่จะเล่น
เนื่องจากภาคส่วนนี้ ตำแหน่งรถถังจึงลดลงเหลือเพียงคนเดียว และสมาชิกในทีมก็ลดลงไปอีก ทำให้รถถังเล่นได้ง่ายขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าการสนับสนุนจะมี 2 คนก็ตาม การเลือกตัวละครก็มีความสำคัญมาก การเล่นแต่ละรอบอาจต้องคำนึงถึงตัวละครหลักด้วย เพราะจากความจริงจังของเกม ตัวละคร Healer ที่เบาบางและเหมือนจริงอย่าง Lucio หรือ Zenyatta ไม่เพียงพอที่จะช่วยเพื่อนหรือในทางใดทางหนึ่ง Healer กึ่งนักสู้อย่าง Moira หรือ Baptiste ก็เปล่งประกายอย่างมาก ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับตัวละครที่ทั้งฝ่ายเราและคู่ต่อสู้เลือก
ต่อมาใครคิดว่าจำนวนสมาชิกในทีมลดลง? เกมจะสบายขึ้นหรือช้าลงก็ต้องบอกว่าผิด เพราะมีการเล่นในแต่ละรอบ เกมยังคงเป็นประสบการณ์ Team Base Shooter ที่ยอดเยี่ยมด้วยจังหวะมากมาย เราแทบจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหากไม่มี Kill Cam มาดูกัน. การต่อสู้มากมายโดยเฉพาะในช่วงเวลาเล่น ทำให้เกมนี้ยังคงเป็นเกมต่อสู้ที่รวดเร็วและเข้มข้นซึ่งต้องการความลื่นไหลในระดับสูง
เนื่องจาก Support เล่นยากกว่า อาจทำให้ผู้เล่นหลายคนในตำแหน่งนี้ต้องปรับตัว ในขณะเดียวกัน ดาเมจหรือ DPS มักจะเป็นตัววัดว่าเกมนี้จะเอาชนะได้หรือไม่ ในขณะที่ Tank ดูเหมือนจะเล่นได้สบายขึ้นเล็กน้อยในภาคนี้
ตารางคะแนนใหม่มีความชัดเจนในทุกรายละเอียด
ในส่วนนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงใน Scoreboard หรือ Scoreboard ที่ถือว่ามีรายละเอียดมากขึ้น เดิมทีในตอนแรก Scoreboard เป็นหน้าตาของตัวละครแต่ละตัว และจะเห็นแต่สเตตัสของตัวเองที่ทำได้เท่านั้น สถิติจะขึ้นอยู่กับตัวละครที่เราเล่น ตัวอย่างเช่น หากคุณเล่นดาเมจ มันจะบอกคุณว่าคุณได้รับความเสียหายเท่าใด และหากเป็นการสนับสนุน มันจะบอกคุณว่าคุณสามารถฮีลได้มากแค่ไหน ชุบตัวเพื่อนกี่ครั้ง ฯลฯ แต่ในภาคนี้สกอร์บอร์ดใหม่จะโชว์ทุกอย่าง
นอกจากนี้ยังบอกคุณว่าความเสียหายเท่าไหร่ การฮีลเท่าไหร่ และ Ultimate ของแต่ละคนอยู่ใกล้แค่ไหนถึงจะเต็มหรือพร้อมใช้ ซึ่งระบบนี้จะบอกว่ามันดี จะบอกว่าแย่ก็ได้เช่นกัน เพราะระบบนี้เปรียบเสมือนผู้เล่นห้อยตัวหากตัวเลขที่ออกมาไม่ตรงกับตำแหน่งที่เล่น มันอาจถูกฉีกโดยคนในทีม สำหรับ Support และ Tank นั้นไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ Damage ต่างหากที่ต้องแบกรับภาระนี้ เพราะถ้าดาเมจเฉลี่ยต่ำมาก อีกไม่นานทั้งทีมจะหันไปรุมคุณ และด้วยเหตุนี้ ผู้เล่น Overwatch 2 ใหม่จึงควรหลีกเลี่ยงการรับตำแหน่งความเสียหายให้มากที่สุด เนื่องจากเกมนี้ต้องใช้เวลาฝึกฝนพอสมควร ทั้งความเร็วในการเล่น การเคลื่อนไหว การต่อสู้ บอกว่าถ้าอยากเก่งจริงต้องใช้เวลา
แต่ข้อดีของระบบ Scoreboard แบบใหม่คือช่วยให้เราทราบรายละเอียดได้ค่อนข้างชัดเจนและภาพรวมของทั้งทีม หากเป็นกรณีที่ใช้ในการเล่นจริงจังหรือวิเคราะห์การแข่งขันจะมีประโยชน์มาก แต่ถ้าเป็นเกมทั่วไป อย่างไรก็ตาม จะต้องมีประเด็นขัดแย้งกันบ้างแน่นอน
โหมดใหม่และปรับสมดุลใหม่มากมาย
สิ่งที่ทำให้แฟน ๆ หลายคนไม่พอใจก็คือมันไม่ใช่ภาคต่อ แต่เป็นการอัพเดทครั้งใหญ่มากกว่า ใน Overwatch 2 มีฮีโร่หลายตัวที่ได้รับการปรับแต่ง ส่วนใหญ่เป็นสองตัวที่โหดกว่ามาก: Orisa และ Doomfist Doomfist กลายเป็นเต็มถัง Orisa มี การปรับปรุงทักษะใหม่ ทำให้เอื้อต่อการได้รับความเสียหายและการชนกันของเพื่อนร่วมทีม ในขณะที่ฮีโร่เก่าจำนวนมากได้รับการปรับปรุงใหม่ ตัวอย่างเช่น Bastion สามารถแปลงร่างเป็นป้อมปราการและเคลื่อนที่ไปมาได้ แต่จะมีคูลดาวน์ รวมถึงการปรับอื่นๆ อีกมากมาย เช่น แสงและคุณภาพกราฟิกของฉากต่างๆ และโหมดใหม่อย่าง Rush ที่จะผลักดันให้หุ่นยนต์แข่งขันกันระหว่างสองทีม ทำให้เกมมีสีสันมากขึ้น
และจากการตอบรับของแฟนเกมไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ ทั้งหมดนี้ก็ยังยืนยันว่า Overwatch ยังคงเป็นเกมที่ได้รับความนิยมอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เราต้องรอและดูจากนี้ไปในโหมดเนื้อเรื่องและเนื้อหา PvE แบบร่วมมือกัน รวมถึงรูปแบบการเล่น การปรับสมดุลและการบาลานซ์จะยังดึงดูดผู้เล่นให้กลับมาหรือไม่? แต่สำหรับ PvP Beta ตอนนี้สนุกดี อารมณ์ตอนเล่นจะเหมือนกับช่วงแรกๆ ของเบต้าเลย ซึ่งสนุกจนอยากเล่นใหม่ก่อนที่จะยาวไปจนแทบไม่หลับ ซึ่งหวังว่าในอนาคต เกมจะสามารถรักษามาตรฐานการเล่นเกมนี้ได้
ข้อมูลมากกว่านี้
รีวิว Overwatch 2 ช่วง PvP Beta การกลับมาของผู้บุกเบิกเกมแนว Hero Shooter และการเปลี่ยนแปลงที่ต้องปรับตัว
เปิดให้ทดสอบเล่นช่วง PvP Beta กันเป็นวงกว้างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับเกม Team Base Shooter ที่เคยสร้างปรากฎการณ์มาแล้วทั่วโลกนับตั้งแต่ปี 2016 อย่าง Overwatch โดยคราวนี้กลับมาในภาค 2 ซึ่งหลังจากเปิดทดสอบให้เล่นกันตั้งแต่ช่วงเมื่อวาน Overwatch 2 ก็กลายเป็นเกมที่เป็น Talk of the Town ในทันที ไม่ว่าจะเป็นยอดผู้ชมสตรีมที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (ส่วนหนึ่งเพราะดรอปคีย์เบต้า) และคำถามต่าง ๆ นา ๆ ว่ามันต่างจากภาคแรกยังไง และหลังจากที่เราได้ทดลองเล่น และใช้เวลาอยู่กับเกมนี้มาสักพักใหญ่ ๆ ได้แล้ว วันนี้มาดูกันว่า Overwatch 2 ในช่วง Beta นี้ เป็นยังไงบ้าง
ภาคนี้เสียเงินซื้อเพิ่มหรือไม่ ? และแตกต่างจากภาคแรกยังไง
คำถามยอดนิยมนับตั้งแต่ตัวเกมมีการประกาศเปิดตัวภาค 2 ก็คือ คนที่มีภาคแรกอยู่แล้วจะต้องทำยังไง ต้องเสียเงินซื้อเพิ่มหรือไม่ คำตอบก็คือ คนที่มีภาคแรกอยู่แล้วไม่จำเป็นจะต้องเสียเงินซื้อเพิ่ม เมื่อ Overwatch 2 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ คนที่เป็นเจ้าของเกมภาคแรกอยู่แล้ว จะได้รับการอัปเกรดฟรีให้เป็นภาค 2 โดยทันที รวมไปถึงเงิน สกิน ไอเทมต่าง ๆ ที่อยู่ในภาคแรกก็จะถูกย้ายมาที่ภาค 2 ทั้งหมดด้วย กล่าวแบบเข้าใจง่าย ๆ แม้มันจะเป็นเกมใหม่แต่จริง ๆ แล้วมันเหมือนกับเกมเก่าอัปเดตใหม่ขนาดใหญ่มากกว่า
แต่ หากคุณอัปเกรดฟรี สิ่งที่คุณจะไม่ได้และต้องซื้อเพิ่มก็คือ โหมด Co-op PvE ที่เป็นคอนเทนต์ใหม่ของภาคนี้ และต้องเสียเงินซื้อเพิ่ม โดยตัวเกมมีการปล่อยรูปแบบการเล่นโหมด Co-op PvE ออกมาบ้างแล้ว ตามวิดีโอที่เราแปะมาให้นี้ ซึ่งคาดว่าเกมออกจริง อาจจะมีรูปแบบการเล่นที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่มีราคาหรือกำหนดการเปิดตัวที่ชัดเจนว่าจะเป็นช่วงไหน
และอีกคำถามสำคัญคือ มันต่างจากภาคแรกยังไง ถ้าตอบแบบตรง ๆ เลยคือ แทบไม่ต่างในแง่ของภายนอก เพราะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจริง ๆ ในภาคนี้คือเกมเพลย์และระบบการเล่นในส่วนของ PvP ที่เรากำลังจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป ตัวเกม Overwatch 2 จึงเหมือนกับการเอาภาคแรกมารีมาสเตอร์ และรีบาลานซ์เหล่าฮีโร่และแผนที่หลาย ๆ อย่าง และเพิ่มคอนเทนต์ใหม่เข้าไป เช่นตัวละคร แผนที่ โหมด เปรียบเสมือนกับแพทช์ใหญ่ของเกมนั้น ๆ แต่ข้อดีก็คือ ทุกคนที่มีภาคแรกจะได้รับการอัปเกรดฟรีทั้งหมดอยู่ดี ส่วนโหมดเนื้อเรื่องหรือ PvE ใครที่ไม่สนใจ ไม่ต้องซื้อก็ทำได้เช่นกัน
จำนวนผู้เล่นต่อทีมที่ลดลง และทำให้ Support เล่นยากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของภาคนี้เลยคือ การลดจำนวนสมาชิกในทีมลง จากที่ภาคแรกเป็นการต่อสู้แบบ 6v6 ภาคนี้จะเหลือ 5v5 แทน และยังมีการล็อคโรลหรือบทบาทการเล่นที่ชัดเจนมากขึ้น โดยในภาคนี้ 1 ทีมจะประกอบไปด้วย Tank 1 / Damage 2 / Support 2 ด้วยจำนวนสมาชิกที่ลดลง ทำให้รูปแบบเกมการเล่นเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคนี้เหล่าผู้เล่นตำแหน่ง Support ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันเล่นยากขึ้นเป็นอย่างมาก
เนื่องจากภาคนี้ตำแหน่ง Tank ถูกลดเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น และสมาชิกในทีมก็ลดลงอีก ทำให้ Tank ค่อนข้างที่จะเล่นง่ายขึ้น ในขณะที่ Support แม้จะมีถึง 2 คน แต่การเลือกตัวละครนั้นถือว่าสำคัญมาก การเล่นแต่ละรอบอาจจะต้องพิจารณาตัวละครเป็นหลัก เพราะจากที่ลองเล่นมาจริงจัง ๆ แล้ว บางตา ตัวละครสาย Healer แท้ ๆ อย่าง Lucio หรือ Zenyatta นั้น แทบจะไม่เพียงพอในการช่วยเพื่อนเลย หรือในบางตา Healer กึ่ง Fighter อย่าง Moira หรือ Baptiste กลับเฉิดฉายขึ้นมาอย่างมาก ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับตัวละครที่ทั้งฝ่ายเราและฝ่ายตรงข้ามเลือกมา
ต่อมา ใครที่คิดว่าจำนวนสมาชิกในทีมลดลงแล้ว เกมจะสบายขึ้น หรือช้าลง ก็คงต้องบอกว่าคิดผิด เพราะจากที่ได้เล่นมาแต่ละรอบ ตัวเกมยังคงเป็นประสบการณ์ Team Base Shooter สุดนัว ที่หลายจังหวะ เราแทบจะไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถ้าไม่มี Kill Cam ขึ้นให้ดู การต่อสู้หลายจุดโดยเฉพาะช่วงที่ต้องยึดพื้นที่การเล่น ทำให้ไฟท์ของเกมนี้ยังคงเป็นเกมการต่อสู้ที่รวดเร็ว ดุเดือด และต้องมีสมาธิกับความพลิ้วไหวสูงมาก
จากการที่ Support เล่นได้ยากขึ้น อาจจะทำให้ผู้เล่นตำแหน่งนี้หลายคนต้องปรับตัว ในขณะเดียวกัน Damage หรือ DPS ก็แทบจะเป็นตัวชี้วัดว่าเกมนั้นจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่ ในขณะที่ Tank เหมือนจะเล่นสบายขึ้นในระดับหนึ่งในภาคนี้
Scoreboard แบบใหม่ ชัดเจนทุกรายละเอียด
ในภาคนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของกระดานคะแนนหรือ Scoreboard ที่ถือว่ามีรายละเอียดที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เดิมทีในภาคแรกนั้น Scoreboard จะเป็นหน้าตาของตัวละครแต่ละตัว และจะให้เห็นแต่สถิติของตัวเองที่ทำได้เท่านั้น สถิติก็จะขึ้นอยู่กับตัวละครที่เราเล่น เช่นถ้าเล่นตัว Damage ก็จะบอกว่าทำดาเมจไปได้เท่าไร ถ้าเป็น Support ก็จะบอกว่าฮีลได้เท่าไร ชุบเพื่อนกี่ครั้ง เป็นต้น แต่ในภาคนี้ Scoreboard แบบใหม่จะโชว์ทุกอย่างให้ได้เห็น
ไม่ว่าจะเป็น Eliminate (Kill) / Death / Assist และยังบอกด้วยว่า Damage เท่าไร Heal เท่าไร และบอกด้วยว่า Ultimate ของแต่ละคนใกล้เต็มหรือพร้อมใช้งานแค่ไหนด้วย ซึ่งระบบนี้จะบอกว่าดีก็ดี จะบอกว่าแย่ก็ได้เช่นกัน เพราะระบบนี้ก็เหมือนกับการแขวนผู้เล่นไว้เลยถ้าว่าตัวเลขที่ออกมาไม่สมกับตำแหน่งที่เลือกเล่น ก็อาจจะโดนคนในทีมสับยับได้เลย สำหรับ Support กับ Tank นั้น ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด แต่ Damage นี่แหละที่ต้องแบกรับภาระตรงนี้เอาไว้ เพราะถ้าค่าเฉลี่ย Damage ต่ำมาก ก็ชัดเจนว่าอีกไม่นานคนทั้งทีมจะหันมารุมสับคุณได้ และเพราะสาเหตุนี้ ทำให้ผู้เล่น Overwatch 2 หน้าใหม่ ควรจะหลีกเลี่ยงการหยิบตำแหน่ง Damage มากที่สุด เพราะเกมนี้ต้องใช้เวลาฝึกฝนพอสมควร ทั้งความเร็วในการเล่น การเคลื่อนที่ การต่อสู้ บอกเลยว่าถ้าอยากเก่ง ต้องใช้เวลาจริง ๆ
แต่ข้อดีของระบบ Scoreboard แบบใหม่ คือทำให้เรารู้รายละเอียดที่ค่อนข้างชัดเจนและภาพรวมของทั้งทีม ถ้ากรณีที่นำไปใช้ในการเล่นแบบจริงจัง หรือวิเคราะห์การแข่งขันก็มีประโยชน์มหาศาล แต่ถ้าเป็นเกมทั่วไป ยังไงก็ต้องมีประเด็นโดนรุมด่ากันบ้างแน่นอน
โหมดใหม่และการรีบาลานซ์ใหม่อีกหลาย ๆ อย่าง
สิ่งที่ทำให้แฟน ๆ หลายคนขัดใจก็คือมันไม่ใช่ภาคต่อ แต่เป็นเหมือนกับการอัปเดตใหญ่มากกว่า ใน Overwatch 2 มีฮีโร่หลายตัวที่ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง โดยหลัก ๆ มี 2 ตัวที่ค่อนข้างโหดขึ้นมากนั่นคือ Orisa และ Doomfist โดย Doomfist จะกลายเป็น Tank แบบเต็มตัว ส่วน Orisa นั่นมีการปรับปรุงสกิลแบบใหม่ ทำให้เอื้อต่การรับดาเมจและเป็นตัวชนให้กับเพื่อนร่วมทีมมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ฮีโร่เก่า ๆ หลายตัวก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ ยกตัวอย่างเช่น Bastion ที่คราวนี้สามารถแปลงร่างเป็นป้อมปืนและเคลื่อนที่ไปมาได้แล้ว แต่จะมีคูลดาวน์อยู่ รวมไปถึงการปรับอื่น ๆ อีกมากมาย เช่นแสง และคุณภาพกราฟิกของฉากต่าง ๆ และโหมดใหม่อย่าง Rush ที่จะเป็นการดันหุ่นยนต์แข่งกันของทั้งสองทีม ก็ทำให้ตัวเกมมีสีสันมากยิ่งขึ้น
และจากกระแสตอบรับของแฟนเกมไม่ว่าจะหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ ทั้งหมดนี้ยังคงยืนยันว่า Overwatch ยังคงเป็นเกมที่ได้รับความนิยมสูงมากอยู่ดี ทั้งนี้ทั้งนั้น เราต้องมารอดูกันว่า ต่อจากนี้ ในส่วนโหมดเนื้อเรื่อง และ Co-op PvE Content รวมไปถึงเกมเพลย์การเล่น การปรับบาลานซ์และสมดุลต่าง ๆ จะยังคงดึงดูดให้ผู้เล่นกลับมาเล่นได้หรือไม่ แต่สำหรับช่วง PvP Beta ตอนนี้ถือว่าสนุกใช้ได้ อารมณ์ตอนเล่นจะเหมือนกับตอนภาคแรกเปิดเบต้าที่สนุกจนอยากขอเล่นอีกตา ๆ ก่อนจะยาวไปจนแทบจะไม่ได้นอน ซึ่งก็หวังว่าในอนาคต ตัวเกมจะสามารถรักษามาตรฐานเกมการเล่นแบบนี้เอาไว้ได้
#รวว #Overwatch #ชวง #PvP #Beta #การกลบมาของผบกเบกเกมแนว #Hero #Shooter #และการเปลยนแปลงทตองปรบตว
#รวว #Overwatch #ชวง #PvP #Beta #การกลบมาของผบกเบกเกมแนว #Hero #Shooter #และการเปลยนแปลงทตองปรบตว