Feature

Naming the English Language: Insights from Thai Culture

ทำไมถึงต้องเรียกภาษาอังกฤษว่าภาษาอังกฤษ? การตั้งชื่อภาษาคงเป็นเรื่องที่เรียกว่าไม่คิดอะไรมาก่อน แต่ไม่ใช่แบบนี้สำหรับภาษาอังกฤษ ในประเทศไทย ชื่อภาษาอังกฤษมักถูกเรียกว่า ‘ภาษาอังกฤษ’ แต่จริงๆ แล้ว ชื่อภาษาอังกฤษมาจากอะไร? ในบทความนี้ เราจะได้แนวคิดจากวัฒนธรรมไทยเพื่อช่วยให้เรารู้เรื่องของการตั้งชื่อภาษาอังกฤษ ว่ามาจากที่ไหน และองค์ประกอบใดที่อยู่เบื้องหลังชื่อภาษานี้

ก่อนที่เราจะพูดถึงวัฒนธรรมไทยเพื่อให้เกิดแนวคิดดังกล่าว ต้องมีการส่องกลับมาที่ประวัติศาสตร์ก่อน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่เกิดจากกลุ่มภาษาเจอร์มัน (Germanic) ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ในยุโรปเหนือ และเป็นภาษาย่อยของภาษาอินโด-ยุโรป (Indo-European) ที่มีบันทึกเสียงเจริญก่อนที่มีการเขียนลงกลางแจ้ง เมื่อภาษาอังกฤษออกเสียงลงมาในกรุงลอนดอนในศตวรรษที่ 7 มีการใช้ชื่อของชนชาติองกฤษเพื่อเรียกภาษานี้ ซึ่งในภาษาละติน ชนชาติองกฤษมีชื่อว่า ‘Angli’ และเป็น ‘Angelcynn’ ในภาษาเจอร์มัน

แต่ที่มาของชื่อ ‘Angli’ เริ่มต้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 ตอนบนขององค์ประกอบยุโรป มีไอซ์แลนด์ชาวเองชั้นนำโดยเอเลียนน์ ไอเกิ้ลส์ที่ได้ก่อตั้งอาณานิคมที่ชานแดนดินแดนสู่ตอนล่างของสหราชอาณาจักร รวมถึงท่านหลวงเทีอร์รี่ ที่สร้างอาณานิคมแห่งแองเลียนด์ในศตวรรษที่ 5 ชื่อที่ชาวไอซ์แลนด์เรียกชาวแองกล่างก็คือ ‘Anglii’ ซึ่งแปลว่า ‘ชาวอังกฤษ’ และได้ถูกบันทึกเอาไว้ในหนังสือว่า “Anglii hoc tempore in prouincia quae nuncupatur Holstein habitant” ซึ่งแปลว่า “ชาวอังกฤษที่อยู่ในเขตที่เรียกว่าฮอลสไตน์ในสมัยนั้น”

หลังจากนั้นชื่อ ‘Anglii’ ได้ถูกนำมาใช้เป็นชื่อของชนชาติองกฤษกว่างและถูกบันทึกลงในหนังสือคู่มือทหาร “De Bello Gallico” ของจูลียังเซฟ (Julius Caesar) ในศตวรรษที่ 1 และบันทึกไว้ในหนังสือ “Historia ecclesiastica gentis anglorum” ของ เบด้าเท่านั้น (Bede) ในศตวรรษที่ 8

แต่ถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษจะเริ่มมีชื่ออย่างเป็นทางการจากการใช้ชื่อของชนชาติขององค์ประกอบยุโรป แต่เราจะมาส่องวิถีวัฒนธรรมของไทย เพื่อให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้วชื่อภาษาอังกฤษมีอะไรบ้างที่ต่างไปจากชื่อภาษาที่สมัยนี้เรียกใช้งาน

ในวัฒนธรรมไทย เราจะพบว่าการตั้งชื่อภาษาไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับชื่อของชนชาติหรือองค์ประกอบกลุ่มที่พูดภาษานั้นๆ เช่น ภาษาไทย ถ้าถามว่าว่ามาจากอะไร เราจะไม่สามารถตอบได้ว่ามาจากไทยหรือชาวไทย ในความหมายหน้าๆ นั้น โดยทั่วไปแล้ว เราจะใช้ชื่อของภาษาเอกภาพของแต่ละบ้านเมือง หรือชื่อเด่นของบุคคลภายในประเทศเป็นที่สุด โดยอาจจะคัดสรรชื่อที่คุ้นเคยและง่ายจำสำหรับประชาชนทั่วไปเอาไว้

ในประเทศไทย เราจะพบว่าชื่อภาษาอังกฤษนั้นแตกต่างจากชื่ออื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กับองค์ประกอบความเป็นชาติ เช่น ชื่อภาษาต่างๆ ในประเทศไทย มักจะมีการประกอบคำของภาษาไทยเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดคำที่เหมาะสมกับภาษา แต่ในภาษาอังกฤษ ชื่อภาษานั้นไม่มีชื่อไทยเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น นั่นเพราะเหตุใดจึงไม่มีการนำภาษาไทยเข้ามาใช้สร้างคำศัพท์หรือชื่อภาษาอังกฤษ เป็นเรื่องที่ผิดปกตินั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับการตั้งชื่อภาษาอังกฤษ คือ ผู้นำและสถาบันการศึกษา ถ้าเรามองถึงการตั้งชื่อภาษาของชนชาติอื่นๆ จะพบว่าชื่อภาษาเหล่านี้เข้ากันได้กับผู้นำและสถาบันการศึกษาว่าง ซึ่งได้รับส่วนร่วมในการตั้งชื่อที่สูงมาก ๆ เช่น บริษัทรัฐบาล (การตลาด), บริษัท (การผลิต), ที่ว่าการเมือง, ศาสนาสำคัญ, ภูมิภาคและยุค, และยังมีคนชื่นชอบชื่อยาวๆ เช่น เสียงเพลง เราจะเห็นชื่อโรงเรียนหลายแห่งมีชื่อภาษาอังกฤษ และส่วนมากเป็นชื่อของที่ประสบความสำเร็จในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น ‘ฮาร์โร่วิค’ หรือ ‘มหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์’ เป็นต้น

ส่วนในวัฒนธรรมไทย การตั้งชื่อภาษาที่ไม่เกี่ยวข้องกับชื่อของชนชาติหรือองค์ประกอบกลุ่มยังคงเป็นเรื่องแบบเก่าอยู่ครับ โดยโรงเรียนจะใช้ชื่อภาษาอังกฤษที่ปรากฎที่นั่น หรือใช้พื้นที่หน้าใหญ่ของโรงเรียนเพื่อชื่อธรรมดา ๆ เช่น โรงเรียนกัลยาณวัตรวิทยาลัย หรือ โรงเรียนจินดาลําโพง นอกจากนี้ยังมีการตั้งชื่อโดยใช้พื้นที่ตั้งหรือสถานที่สำคัญในพื้นที่โดยใช้ภาษาอังกฤษ ตัวอย่างเช่น โรงเรียนกำแพงเพชรวิทยาลัย หรือ โรงเรียนสวนแตงโมวิทยา ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เด็กไทยจะไม่รู้ว่าชื่อโรงเรียนเหล่านี้มาจากอะไร แต่สำหรับชาวต่างชาติที่ดูชื่อโรงเรียนเหล่านี้ข้อมูลนี้เป็นอีกแนวคิดในการรับรู้ว่าชื่อภาษาของแต่ละองค์ประกอบมีที่มาอย่างไรเช่นกัน

จากที่ได้บอกข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าชื่อภาษาอังกฤษไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างสุขุมสมรส แต่อย่างไรก็ตามชื่อนี้เป็นชื่อที่เราได้ใช้มาร้อยปีแล้ว เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อทั้งหมดใหม่ แต่เมื่อเราเข้าใจว่าชื่อภาษาอังกฤษมาจากที่ไหนและองค์ประกอบที่อยู่เบื้องหลังนี้ เรารู้สึกได้ถึงความสำคัญและมูลค่าของภาษาอังกฤษอย่างดีเยี่ยม ดังนั้นถ้าหากเราได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารระหว่างทวีปหรือระหว่างวัฒนธรรม นั่นหมายความว่าเราจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของภาษาดังกล่าวด้วยอย่างแน่นอน

Related Articles

Trả lời

Email của bạn sẽ không được hiển thị công khai. Các trường bắt buộc được đánh dấu *

Back to top button